วันพฤหัสที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ระเบิดในศรีลังกาตายอย่างน้อย207คน

On April 22, 2019

บีบีซีไทยรายงานว่า มีประชาชนอย่างน้อย 207 คนเสียชีวิต ขณะที่กว่า 450 คนได้รับบาดเจ็บ จากเหตุระเบิดที่โบสถ์และโรงแรมภายในประเทศศรีลังกาที่เกิดเหตุระเบิดขึ้นอย่างน้อย 8 ครั้ง ในจำนวนนี้เกิดขึ้นที่โบสถ์ 3 แห่งในย่านโกชชิกาเด ในกรุงโคลัมโบ, เมืองเนกอมโบ และเมืองบัตติคาโลอา ในระหว่างที่ประชาชนกำลังร่วมประกอบพิธีทางศาสนาเนื่องในเทศกาลอีสเตอร์ ส่วนอีก 3 ครั้งเกิดขึ้นที่โรงแรมแชงกรีลา โรงแรมซินนามอน แกรนด์ และโรงแรมคิงส์บิวรี ในกรุงโคลัมโบ

สำหรับวันอีสเตอร์ถือเป็นวันเฉลิมฉลองหลักของคริสตศาสนิกชนในโอกาสที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์ชีพจากความตาย มีการประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่บ่าย 3 โมง (เวลาท้องถิ่น) โดยยังไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด ล่าสุดรัฐบาลระบุว่าได้มีการระงับการใช้เครือข่ายโซเชียลมีเดียเจ้าใหญ่ๆเป็นการชั่วคราวแล้ว

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เหตุระเบิดครั้งที่ 8 บริเวณย่านเดอมาตาโกดา ในกรุงโคลัมโบ เป็นการระเบิดฆ่าตัวตาย และทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 3 ราย แหล่งข่าวในโรงพยาบาลบอกกับบีบีซีว่า มีชาวต่างชาติอย่างน้อย 9 รายที่เสียชีวิตจากเหตุโจมตีในกรุงโคลัมโบ โดยภาพจากสื่อสังคมออนไลน์แสดงให้เห็นสภาพภายในโบสถ์เซนต์ เซบาสเตียน ในเมืองเนกอมโบ ซึ่งฝ้าเพดานแตกละเอียดและมีเลือดบนม้านั่ง

อย่างไรก็ตาม การรายงานข่าวจำนวนผู้เสียชีวิตยังคงสับสน สื่อบางสำนักรายงานโดยอ้างแหล่งข่าว ทำให้ยอดรวมของผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่รอยเตอร์สอ้างแหล่งข่าวจากตำรวจระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 50 คนเฉพาะในเมืองเนกอมโบเพียงเมืองเดียว

ส่วนสื่อในศรีลังการายงานว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนเป็นผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์นี้ด้วย เจ้าหน้าที่โรงแรมซินนามอน แกรนด์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านพักนายกรัฐมนตรี บอกกับเอเอฟพีว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คน
s2
นายรานิล วิครามาสิงเห นายกรัฐมนตรีศรีลังกา เรียกประชุมฉุกเฉินหลังเกิดเหตุระเบิดในครั้งนี้ ส่วนกระทรวงศึกษาธิการสั่งปิดโรงเรียนของรัฐบาลทั้งหมดเป็นเวลา 2 วัน (22-23 เม.ย.)
s3
ด้านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายงานว่า ทางการได้ยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยในสนามบินนานาชาติ ขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมากล่าวอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีที่เกิดขึ้น

ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโคลัมโบออกประกาศเตือนคนไทยที่พำนักในศรีลังกาผ่านเฟซบุ๊คว่า ให้หลีกเลี่ยงสถานที่คนพลุกพล่านเพื่อความปลอดภัย

ทั่วโลกส่งกำลังใจ

สมเด็จพระสันตะปาปาหรือโป๊ปฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ทรงกล่าวขณะร่วมพิธีเทศกาลอีสเตอร์ที่นครวาติกัน ประณาม “ความรุนแรงอันโหดร้าย” ที่เกิดขึ้นกับชาวคริสต์ขณะประกอบพิธีทางศาสนา

นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า การโจมตีโบสถ์และโรงแรมอย่างรุนแรงในศรีลังกาเป็นการกระทำที่โหดร้ายมาก ส่วนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งผ่านทวิตเตอร์ต่อ “การก่อการร้ายครั้งเลวร้าย”

ไม่มีใครคาดคิด

บทวิเคราะห์โดยอัสซาม อามีน ผู้สื่อข่าวบีบีซีแผนกภาษาสิงหล จากบริเวณโบสถ์เซนต์ แอนโทนี

มีข่าวลือว่าจะเกิดเหตุโจมตีขึ้นอีก และขณะนี้ตำรวจบอกกับประชาชนให้อยู่บ้านและพยายามตั้งสติ อย่างไรก็ดี ผู้คนก็รู้สึกหวั่นวิตก

ขณะนี้มีทหารไปประจำการอย่างแน่นหนาบริเวณอาคารรัฐสำคัญๆทุกแห่ง ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องจะเกิดขึ้นในเช้าวันอาทิตย์อันเงียบสงบวันนี้ ผู้คนกำลังเดินทางไปสวดมนต์เนื่องในเทศกาลอีสเตอร์ ผมได้พูดคุยกับบาทหลวงหลายท่าน ซึ่งต่างตกตะลึงกับเหตุที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เช่นกัน

นี่เป็นการโจมตีที่วางแผนมาอย่างดีและประสานงานร่วมมือกัน ฝ่ายความมั่นคงของศรีลังการะบุว่ายังเร็วไปที่จะบอกได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุในครั้งนี้

ประวัติศาสตร์การสู้รบในศรีลังกาเป็นอย่างไร

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับจากสิ้นสุดสงครามกลางเมืองของศรีลังกาในปี 2009 มีความรุนแรงเกิดขึ้นบ้าง โดยชาวพุทธสิงหลได้โจมตีมัสยิดและทรัพย์สินของชาวมุสลิม ทำให้รัฐต้องประกาศภาวะฉุกเฉินในเดือนมีนาคม 2018

สงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ หลังจากต่อสู้กันมากว่า 26 ปี เพื่อปลดปล่อยชนชาติทมิฬเป็นอิสระจากศรีลังกา สำหรับสงครามที่ยืดเยื้อดังกล่าวเชื่อว่าคร่าชีวิตคนไปราว 70,000-80,000 คน

ศาสนาในศรีลังกา

ชาวศรีลังกาส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทมากกว่าร้อยละ 70.2 ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่ชาวฮินดูและมุสลิมมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 12.6 และร้อยละ 9.7 ตามลำดับ ส่วนชาวคริสต์มีราว 1.5 ล้านคน และนับถือนิกายโรมันคาทอลิกเป็นส่วนใหญ่

บรรยากาศที่เมืองแคนดี สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของศรีลังกา เงียบเหงาถนัดตาหลังรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่บ่าย 3 โมงที่ผ่านมา ผู้คนรีบปิดร้านเก็บข้าวของ ซื้อเสบียงอาหารตุนไว้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน และรีบเดินทางกลับบ้าน มีการอพยพผู้คนออกไปจากโบสถ์หลายแห่งในตัวเมือง และปิดประตู-รั้วแน่นหนา

พนักงานโรงแรมแนะนำให้นักท่องเที่ยวงดเว้นการเดินทางออกไปภายนอก และแนะนำให้เผื่อเวลาเดินทางไปสนามบิน เพราะมาตรการควบคุมแน่นหนา ควรถึงสนามบินก่อนเครื่องบินออก 4 ชม. เป็นอย่างน้อย


You must be logged in to post a comment Login